จิณณรัตน์ มะโนใจ (กรีน)

แนะนำตัว

สวัสดีครับผมชื่อจิณณรัตน์ มะโนใจ ชื่อเล่นชื่อกรีน ครับ จบการศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนวารีเชียงใหม่อินเตอร์เนชั่นแนล ปัจจุบันผมศึกษาอยู่ที่คณะดนตรีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สาขา B.A. Music Entrepreneurship ชั้นปีที่1ครับ เครื่องดนตรีที่เล่นได้ คือ กีตาร์ ร้องเพลง และเปียนโนครับ. ผมชอบที่จะร้องเพลง เล่นดนตรีและแต่งเพลงมากๆ และปัจจุบันก็มีผลงานเพลงลงใน YouTube และ Streaming platform ด้วยครับ ผมเป็นคนที่มีความรักในดนตรีและมีความฝันอยากจะแบ่งบันเสียงดนตรีที่ผมรักให้กับคนอื่นผ่านเพลงและเล่นของผมครับ

 

ทำไมมาเรียนที่คณะดนตรีเอแบค?

ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมค่ายกิจกรรม ABAC Music Summer Camp no.5 ที่เอแบค ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาทำความรู้จักกับคณะดนตรีและมหาวิทยาลัยเอแบค ผมได้เห็นความสวยงามของมหาลัย สิ่งแวดล้อมและผู้คนในเอแบค นอกจากนั้นผมยังได้รู้จักกับคณะ Music Business (B.A. Music Entrepreneurship ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นคณะที่ตอบโจทย์กับผมมาก ซึ่งผมเป็นคนที่ชื่นชอบในดนตรี แต่ก็อยากทำธุรกิจด้วย ซึ่งผมมีความฝันมาตลอดว่าอยากเป็นศิลปิน และถ้ามีโอกาสอยากจะทำค่ายเพลงของตัวเอง ซึ่งคณะ B.A. Music Entrepreneurship เป็นคณะที่ตอบโจทย์มากครับ และหลังจากการได้มาค่ายดนตรีที่เอแบคถึง4ครั้ง ทำให้ผม ได้รู้และสัมผัสกับบรรยากาศในคณะทั้งอาจารย์และพี่ๆ ซึ่งเป็นมิตรและอบอุ่นมากๆ ประกอบกับผมมองว่าในบรรดาคณะดนตรีสาขาธุรกิจดนตรีเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นผมมองว่าเอแบคมีจุดเด่นและมีเอกลักษณ์มากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆครับ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์และเนื้อหาวิชา และจากการที่ผมได้รับทุนการศึกษา100%ทำให้ผมตัดสินใจเข้าศึกษาที่คณะดนตรีเอแบคครับ

 

สาม วิชา ในดวงใจ (วิชาที่ชอบ?)

หลังจากที่ผมได้เริ่มเรียนปี1ได้ประมาณ3เดือน ผมก็ได้เจอกับวิชาทั้งนอกและในคณะ ซึ่งแต่ละวิชาก็มีประโยชน์ จุดเด่น ความยากง่าย และความสนุกที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับผม ถ้าให้เลือกวิชาที่ชอบที่สุด ก็จะมี 3 วิชานั่นก็คือMusic Business ที่สอนโดยอาจารย์ปอ, Major Instrument ที่สอนโดยอาจารย์วิว และ English1 สอนโดย T. Damian โดยสาเหตุที่ผมชอบวิชา Music Business เพราะว่า เป็นวิชาที่สอนเกี่ยวกับธุรกิจดนตรีและบันเทิงซึ่งตรงกับสายงานและอาชีพในฝันของผม ทำให้ผมได้เข้าใจและได้ความรู้เพื่อนำไปใช้ในปัจจุบันและในอนาคต และยังช่วยคลายความสงสัยต่างๆที่เคยมีก่อนหน้านี้ด้วยครับ Major Instrument ก็เป็นวิชาที่ผมชอบเช่นกัน ผมเลือกเป็นกีต้าร์ไฟฟ้า ซึ่งเรียนกับอาจารย์วิว สาเหตุที่ผมชอบวิชานี้เพราะว่า ทำให้ผมได้เรียนและพัฒนาฝีมือและความสามารถในการเล่นกีตาร์ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมชอบ ประกอบกับอาจารย์ที่สอนได้เข้าใจง่าย มีเทคนิค และมีขั้นตอน ทำให้ผมเรียนรู้และฝึกฝนได้ง่ายขึ้นครับ และEnglish 1 ก็เป็นอีกวิชาที่ผมชอบเพราะว่า ผมอยากจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น และการเรียนก็สนุกด้วยครับ

 

ชีวิตการเรียนในเอแบค (เป็นยังไงบ้าง?)

นี่เป็นปีแรกของผมในการเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดของโควิด จึงทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนแบบปกติได้ และต้องทำการเรียนการสอนแบบออนไลน์ผ่านระบบ MS Teams ซึ่งตั้งแต่เข้าศึกษา จนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่เปิดเทอม1 ก็เป็นเวลาประมาณ3เดือน ผมยังไม่เคยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเลยซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากๆ แต่การเรียนผ่านระบบออนไลน์ไม่ได้แปลว่าไม่ดีหรือไม่สนุกนะครับ ผมมองว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยมีความพร้อมและมีการปรับตัวที่รวดเร็วในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น และมหาวิทยาลัยก็สามารถทำการเรียนการสอนแบบออนไลน์ออกมาได้ดีและไม่รู้สึกว่าการเรียนนั้นยากขึ้นเลย จริงๆผมมองว่าการเรียนผ่านระบบออนไลน์นั้น สะดวกและประหยัดเวลามากๆ ทั้งการเดินทางและอื่นๆ และสำหรับผมการเรียนออนไลน์ทำให้การเรียนนั้นมีสมาธิมากยิ่งขึ้นครับโดยรวมแล้วชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยของผมสนุกและมีความสุขมากครับ แต่ถ้าหากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้วผมก็อยากกลับเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยและเจอเพื่อนๆนะครับ

 

บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในเอแบค (เป็นยังไง ชอบมั้ย?)

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญหรือเอแบคเป็นหมาวิทยาลัยที่สวยเอามากๆ ในทีแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเอแบคสวยขนาดไหน แต่ก็พอจะนึกภาพออกอยู่ เพราะว่าเคยเห็นโฆษณาในเฟสบุ๊ค เป็นคลิปที่เจมส์ มาร์ พูดอยู่หน้าตึกCL ตอนนั้นผมก็คิดว่ามหาลัยนี้น่าเรียนจัง เรียนแล้วพูดอังกฤษคล่องปรื๋อ แถมมหาลัยก็ยังสวยอีก แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดไปเพราะก็ไม่รู้จะไปเรียนคณะอะไรที่นั่น(เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ไปค่ายดนตรีที่เอแบค) จนครั้งแรกที่ได้ไปเข้าร่วมค่ายดนตรีที่เอแบคเอแบค เช้าวันนั้นพ่อกับแม่และผม ขับรถเข้าไปในมหาวิทยาลัย ทันทีที่เลี้ยวซ้ายจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เข้าประตูหน้ามา ผมก็รู้สึกว่าเหมือนพึ่งผ่านประตูมิติเข้ามาอีกโลกหนึ่ง ซ้ายขวารู้สึกร่มรื่นบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะต้นไม้ใบเขียวที่มันเขียวอร่ามอยู่สองข้างทางก็เป็นได้ครับ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ที่สุด เพราะหลังจากขับอ้อมผ่านด้านข้างของตึกCL แล้วมาเจอกับตึกต่างๆด้านซ้ายและขวา ประกอบกับในวันนั้นเอแบคมีการประดับธงของนานาชาติอยู่เต็มสองข้างทาง ทำให้พ่อแม่และผมเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่มันยุโรปชัดๆ” สถาปัตยกรรมแบบยุโรป กับแดดยามเช้า และแลนด์สเคปรอบข้างของมหาวิทยาลัยที่มีแต่ทุ่งนา ปราศจากตึกสูงเนื่องจากอยู่ไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก ทำให้เอแบคเหมือนเป็น ยุโรปเล็กๆท่ามกลางทุ่งนาเลยครับ นอกจากตึกที่สวยงามแล้ว ความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกอย่างเลยที่ผมสังเกตได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามา เพราะเอแบคเต็มไปด้วยพี่ๆSecurity คอยยืนอยู่ประจำตามจุดต่างๆ ทั้งคอยดูเรื่องการจราจรและช่วยเหลือตอบคำถามต่างๆนับเป็น first impression ที่ดีเอามากๆครับ

 

-“อาหาร ผู้คน และ ความหนาวในตึกCL” (และการเรียนในตึกเรียนที่สูงที่สุดในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง?)

ต้องสารภาพเลยว่าผมยังไม่เคยไปใช้ชีวิตในฐานะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอแบคเลย เนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิดที่แพร่ระบาด แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องอาหาร ผู้คน และตึกCL ต้องขอบคุณค่ายเอแบคที่ทำให้ได้มีประสบการณ์เหล่านี้ก่อนเข้าเรียน สิ่งแรกที่สำคัญไม่แพ้การเรียนนั่นก็คืออาหาร เพราะอย่างที่คนโบราณเค้ากล่าวไว้ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาหารที่อร่อยจึงเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ และเอแบคก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยตัวเลือกที่มีหลากหลาย ทั้งเมนูและราคา ทำให้อาหารในเอแบคนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยครับ แต่จากการที่เคยลองกินหาหารใต้ตึกCLนั้นผมคิดว่า ถ้าอยากกินอาหารที่อร่อยแบบเต็ม10ให้10คงต้องไปที่กินAU Mall เพราะว่าอาหารที่ตึกCLจะถูกบังคับให้เป็นอาหารเวฟเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตึกครับ ผู้คนในเอแบคทั้งอาจารย์ รุ่นพี่พี่ๆsecurity หรือป้าแม่บ้าน จากประสบการณ์เท่าที่ผมได้สัมผัสมา ทุกๆคน อัธยาศัยดีและเป็นมิตรมากๆครับ ในครั้งที่ผมไปเข้าค่ายดนตรีครั้งแรก ผมเข้ามาในตึกCL ตรงส่วนพลาซ่า ซึ่งทำให้ผมสับสนเอามากๆว่าลิฟต์อยู่ไหน ผมจึงถามรุ่นพี่แถวนั้นว่า ผมจะขึ้นลิฟต์ได้ตรงไหน พี่เค้าก็บอกว่า ต้องขึ้นบันไดไปก่อน แล้วถึงขึ้นลิฟต์ ทำให้ผมต้องเดินวนไปมาอยู่สัก2-3นาที จนกลับมาเจอพี่คนเดิม แล้วพี่เค้าก็อาสาพาไปส่งถึงบันไดข้างเดลี่ควีนเลยครับ ลิฟต์ในตึกCL ก็เร็วเอามากๆถึงบางครั้งอาจจะต้องใช้เวลารออยู่บ้าง แต่เมื่อได้ขึ้นแล้ว อาจจะเกิดอาการหูอื้อเอาได้ เพราะความเร็วที่เร็วมากๆในการทะยานของลิฟต์เพื่อให้ไปถึงชั้นเป้าหมาย คงจะเป็นเพราะเป็นตึกเรียนที่สูงที่สุดในไทย ทำให้ต้องใช้ลิฟต์ที่เร็วสูงแบบนี้. การใช้ชิวิตในตึกCLนั้น ถ้าร่างกายไม่อบอุ่นพอ ก็จะเป็นการยากหากจะใช้ชีวิตโดยปราศจากเสื้อกันหนาว เพราะแอร์ที่CLนั้นเย็นมากๆ และไม่สามารถเลือกปิดแอร์ได้ เพราะ แอร์จะเป็นแอร์รวม ถ้าปิด ก็ต้องปิดทั้งหมด ดังนั้นถ้าเป็นคนขี้หนาวแล้วไม่เตรียมเสื้อกันหนาวมาก็เตรียมตัวสั่นได้เลยครับซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น.